พนง.ร้านข้าวมันไก่ แฉนิสัยลูกจ้าง หลังถูกไล่ออกตักเศษไก่กลับบ้าน บอกเจ้านายยิ่งกว่าครอบครัว

Menu Atas

Header Menu

พนง.ร้านข้าวมันไก่ แฉนิสัยลูกจ้าง หลังถูกไล่ออกตักเศษไก่กลับบ้าน บอกเจ้านายยิ่งกว่าครอบครัว

Selasa, 30 Agustus 2022


 พนง.ร้านข้าวมันไก่ แฉนิสัยลูกจ้าง หลังถูกไล่ออกตักเศษไก่กลับบ้าน ให้ข่าวสวนทางความเป็นจริง แถมเข้ากับใครไม่ได้ บอกเจ้านายยิ่งกว่าครอบครัว

จากกรณีเรื่องราวดรามาบนโลกโซเชียล หลังพนักงานร้านข้าวมันไก่แห่งหนึ่ง ตักน้ำซุปกับกระดูกหมูและเศษไก่ที่เขาทิ้ง เอาไปแบ่งข้างห้องกิน ซึ่งมีคนตกงานอยู่ด้วย เพราะไม่มีรายได้ โดยทำงานที่ร้านนี้มา 15 ปี แล้ว ก่อนจะถูกแจ้งความลักทรัพย์ และเรียกเงินชดเชย 2 หมื่นบาท ก่อนที่ทางร้านจะออกมาชี้แจง ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น อ่านข่าว ร้านดังแจง ปมไล่ออกลูกจ้างตักเศษไก่กลับบ้าน ไม่สนับสนุนการลักขโมย

ล่าสุดวันที่ 30 ส.ค.65 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากเพื่อนพนักงานของลูกจ้างที่ขโมยน้ำซุปกระดูกหมูและเนื้อไก่ ซึ่ง นางลินดา วงษ์เจริญ ผู้จัดการร้านดังกล่าว ที่ทำงานกับนายจ้างมานานกว่า 20 ปี เล่าว่า ร้านแห่งนี้พนักงานอยู่ด้วยกันแบบครอบครัว และที่ผ่านมาแม้จะเห็นพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับการนำของออกจากร้านมาหลายครั้งแล้ว แต่ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ จะมองผ่านทุกครั้งด้วยคิดเพียงว่าใครทำแบบไหนก็ได้แบบนั้น และจะไม่ไปยุ่งเรื่องของใคร ซึ่งพนักงานที่เป็นข่าวนั้นเคยทำหน้าที่หัวหน้ากุ๊กและเป็นคนดูแลสต๊อกสินค้า รวมถึงวัตถุดิบทุกอย่างภายในร้านแทนเจ้าของร้าน ซึ่งเจ้าของร้านก็ไว้ใจ ด้วยอยู่กันมานาน ส่วนกระแสข่าวเรื่องของการขโมยของในร้านนั้นมีมาสักระยะหนึ่งแล้ว และเมื่อวันที่พนักงานคนดังกล่าวถูกจับตนก็คิดว่ากรรมทำงานแล้ว


ทั้งนี้วันที่เกิดเหตุการณ์ที่พนักงานคนดังกล่าวนำกระดูกซุปขนาดใหญ่ที่มีเนื้อติด ไม่ใช่ตามที่เป็นข่าวว่าเป็นเพียงเศษกระดูก โดยเมื่อช่วงเวลา 10.00 น. ของวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา ทุกคนในร้านก็เห็นเหตุการณ์ ที่พนักงานคนนั้นตักกระดูกซุปออกมาใส่ชาม ตอนแรกคิดว่าจะทานเองที่ร้าน แต่พอมาเห็นเป็นข่าวเลยพูดคุยกับพนักงานที่ร้านว่าเขาไม่ได้กินที่ร้านหรืออย่างไร ที่ผ่านมาที่ร้านประสบเหตุการณ์ทั้งสิ่งของและวัตถุดิบหายไปมาอย่างต่อเนื่อง จนเจ้าของร้านได้เรียกพนักงานประชุม พร้อมแจ้งให้พนักงานทราบว่าขออย่าขโมยของออกจากร้าน ซึ่งเป็นเหมือนการเตือนพนักงานที่กระทำผิดด้วยไม่อยากให้ใครตกงาน จึงได้ออกกฎหากพบใครขโมยของออกจากร้านจะมีโทษปรับ โดยในวันเกิดเหตุก็มีการตรวจค้นพนักงานทุกคน จนไปเจอของกลางที่พนักงานคนนั้นเพียงคนเดียว


นางลินดา เล่าต่อว่า ตนทำงานร่วมกับนายจ้างมานานกว่า 20 ปี หากนายจ้างไม่ดีจริงคงไม่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ทางร้านดูแลลูกจ้างเหมือนคนในครอบครัว มีปัญหาอะไรก็จะคอยช่วยเหลือ แม้แต่เรื่องความเดือดร้อนส่วนตัว ก็ยังหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้ แม้แต่ญาติพี่น้องเสียชีวิตพอทราบข่าวก็จะมอบเงินช่วยเหลือ ซึ่งทำแบบนี้ให้กับพนักงานทุกคน ทั้งนี้ที่ร้านมีอาหารเลี้ยงพนักงานครบ 3 มื้อ

ส่วนเรื่องอาหารการกินไม่เคยหวงพนักงาน ให้กินเต็มอิ่ม เพียงขออย่างเดียวอย่าขโมยของกลับบ้านโดยไม่แจ้ง อยากได้อะไรขอเพียงบอก เจ้าของร้านไม่เคยหวง ไม่ว่าจะเป็นของชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ แม้กระทั้งโควิดระบาด พนักงานยังได้รับเงินเดือนเต็มทุกเดือนไม่มีหัก ปัจจุบันพนักงานแคชเชียร์ไม่มีคนเลี้ยงลูก เจ้าของร้านก็ยังให้มาเลี้ยงลูกที่ทำงานด้วย ก็ไม่รู้ว่าทำไมสิ่งที่เป็นข่าวมันสวนทางกลับความเป็นจริง เพราะการทำงานที่นี่เน้นการอยู่แบบครอบครัว เจ้าของร้านดูแลพนักงานเหมือนญาติ สุดท้ายอยากให้สังคมมองความจริงว่าคนที่ไปจากร้านเป็นคนแบบไหน


ขณะนี้ นางอำพันธ์ มณีรัตน์ พนักงานร้านดังกล่าว ที่ทำงานมาแล้ว 4 ปี เล่าว่า เพื่อนร่วมงานคนดังกล่าว จากที่เคยร่วมงานกันเป็นคนที่ไม่มีน้ำใจกับใครเลย และเป็นคนที่ไม่สนิทกับใครเลยภายในร้าน เป็นคนไม่มีน้ำใจ และนิสัยก็ไม่เหมือนตามที่เป็นข่าว ที่บอกว่าขยันทำงานมานั้น ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงเลย ส่วนเจ้าของร้านตั้งแต่ร่วมงานมายังไม่เคยเห็นที่ทำไม่ดีกับพนักงานเลย แม้ตัวเองป่วยเป็นมะเร็ง ต้องผ่าตัดให้เลือด เจ้าของร้านก็ระดมจัดหาเลือดให้คนรู้จักบริจาคเลือดให้

ตอนนอนพักรักษาตัวยังจ่ายเงินเดือนเต็มแบบไม่หักเงินแม้แต่บาทเดียว อีกทั้งช่วงโควิดระบาดก็ไม่ลดเงินเดือนพนักงาน พนักงานมีปัญหาก็พร้อมให้คำปรึกษาโดยตลอด แม้กระทั่งพนักงานคนดังกล่าวที่บอกเจ้าของร้านไม่ดูแล เมื่อช่วงติดโควิด เจ้าของร้านก็ดูแลหายา หาอุปกรณ์เกี่ยวกับการป้องกันโควิดมาให้รักษา ส่งอาหารและยาบำรุงจนหาย ทำเหมือนคนในครอบครัวไม่เคยทอดทิ้ง


แต่เมื่อขโมยของที่ร้านออกไปแล้วมาบอกเจ้าของร้านไม่ดี อยากให้สังคมแยกแยะ ระหว่างความดีกับการกระทำผิด อยากให้คนนอกที่ไม่รู้วอนให้หยุดสร้างความเสียงหายให้กับร้านจากสิ่งที่ไม่เป็นความจริง และเสียใจกับพนักงานคนดังกล่าวที่มาใส่ร้ายร้าน หากอยากทราบความจริงว่าเป็นแบบไหนให้มาถามพนักงานที่ร้าน ทุกคนพร้อมให้คำตอบที่เป็นจริง


ซึ่งทางสังคมโซเชียลหากอยากจะออกความคิดเห็นก็ขอให้เป็นกลางและอยู่บนพื้นฐานความจริง พนักงานที่ทำงานที่ร้านแห่งนี้มีแต่คนจนๆ ทุกคน หากเจ้าของไม่ดีจริงพนักงานที่ทำกันมาหลายสิบปีคงจะไม่อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ เปรียบกับตัวเองที่อายุมากแล้วทางหากไปสมัครงานที่ไหนก็คงไม่มีใครรับ ที่ผ่านมาก็ไปสมัครงานหลายที่ก็ไม่มีคนรับด้วยอายุที่มากร่างกายและสุขภาพที่ไม่แข็งแรง แต่ร้านนี้รับมาทำงานทำให้มีรายได้ไปดูแลครอบครัวอีกหลายชีวิต อยากวอนสังคมให้หยุดโจมตีร้านและเป็นกลางกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาที่ร้านไม่มีปัญหาอะไร พึ่งจะมามีปัญหาด้วยพนักงานสร้างปัญหาให้กับทางร้าน