กรณีชาวบ้านออกหาเห็ดป่าไปพบร่างผู้เสียชีวิตเป็นชายและหญิงในสภาพเปลือยกายถูกฝังดิน และมีการโบกปูนซีเมนต์เททับ อยู่ภายในป่าสาธารณะประโยชน์ ริมถนนเชื่อมต่อหมู่บ้านดอนไพล หมู่ที่ 7 ต.ท่าเยี่ยม และหมู่บ้านดอนไพล หมู่ที่ 1 ต.รุ่งอรุณ อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา เมื่อช่วงเย็นวันที่ 28 ก.ค. 65
นางสาววิภาพร พุฒนอก เจ้าหน้าที่อาสาฮุก 31 จุดโชคชัย เล่านาทีที่ขุดเจอศพว่า ตอนที่ขุดเจอนั้นเจอศพ เจอผู้หญิงก่อน โดยระหว่างที่ยกศพของผู้หญิงขึ้นมา ก็พบขาของมนุษย์โผล่ขึ้นมาพ้นพื้นดิน คิดว่าน่าจะเป็นอีกศพที่ฝังเอาไว้ด้วยกัน ก่อนที่จะขุดขึ้นมาพบเป็นศพชาย
ลักษณะของการฝัง คือคนร้ายน่าจะขุดหลุมฝังผู้ชายก่อน แล้วเทปูนทับลงมา แล้วค่อยนำผู้หญิงมานอนคว่ำหน้าบนร่างของผู้ชายก่อนที่จะเทปูนทับอีกรอบ โดยเว้นส่วนหัวและขาเอาไว้
ล่าสุด ตำรวจได้มีการเรียกสอบปากคำพยานที่ไปพบสถานที่เกิดเหตุครบแล้ว ได้กระจายกำลังลงพื้นที่สืบสวนหาข้อมูลเพิ่มเติม ทั้งการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่อยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ รวมถึงนำเครื่องตรวจหาโลหะเข้าทำการตรวจสอบจุดที่พบศพซ้ำ เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม แต่ยังไม่พบข้อมูลเพิ่มเติม
นอกจากรอยสักรูปคล้ายมงกุฏที่อยู่กลางหลัง และรอยสักรูปเป็นลักษณะคล้ายสายดอกไม้คล้องข้อมือขวาของศพหญิง ทั้งนี้ยังคงต้องรอผลการชันสูตรทางนิติเวชทั้ง 2 ศพอย่างละเอียด จากทางโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เพื่อที่จะนำมาวิเคราะห์ระบุถึงรายละเอียด มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นชาวต่างชาติหรือแรงงานต่างด้าว
ล่าสุด 29 ก.ค. 65 ทีมข่าวลงพื้นที่จุดเกิดเหตุอยู่ในป่าชุมชน จุดที่พบศพอยู่ในป่าห่างจากถนนที่ตัดผ่านป่าประมาณ 100 เมตร โดยจุดนี้อยู่ห่างถนนสายราชสีมา-โชคชัย ประมาณ 300 เมตร และห่างจากชุมชนประมาณ 1 กิโลเมตร บริเวณหลุมฝังศพความกว้างประมาณ 80 เซนติเมตร ยาว 1.80 เมตร และลึก 1.5 เมตร มีแผ่นปูนที่ถูกขุดขึ้นมาอยู่รอบหลุม
ตั้งแต่ช่วงเช้า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.โชคชัย นำเครื่องสแกนโลหะ สแกนหาวัตถุที่คาดว่าคนร้ายจะใช้เป็นอาวุธ รวมถึงค้นหาเสื้อผ้าของผู้ตายในรอบรัศมี 200 เมตร รอบหลุมฝังศพ แต่ไม่พบหลักฐานเพิ่มเติม
นายอภินันท์ กับกระโทก อายุ 32 ปี ผู้ที่เจอหลุมศพคนแรก เล่าว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ค. เวลา 10.00 น. ตนเข้าป่ามาหาเห็ดแล้วสังเกตเห็นพื้นดินลักษณะคล้ายหลุม มีรอยยุบลงไปเล็กน้อย จึงเอะใจว่าอาจมีคนมาขุดเอาไว้ วันที่ 28 ก.ค. เวลา 10.00 น. จึงแจ้งผู้ใหญ่บ้าน จากนั้นได้เข้ามาดูที่หลุมพร้อมผู้ใหญ่บ้าน
ต่อมา เวลา 15.00 น. ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านเข้ามาช่วยกันขุดหลุม แต่ตนติดธุระไม่ได้เข้ามาด้วย หลังขุดไม่นานผู้ใหญ่บ้านแจ้งว่าพบศพ ตนจึงเข้ามาดูที่เกิดเหตุ ส่วนตัวไม่รู้จักผู้ตาย คาดว่าไม่ใช่คนในพื้นที่ ส่วนจุดที่เกิดเหตุตนไม่ได้เข้าไปบ่อย เพราะปกติทำงานก่อสร้าง แต่วันที่เข้าไปหยุดงานจึงเข้าไปหาเห็ดเท่านั้น
ด้านนายฉลอง มาสำโรง อายุ 54 ปี คนเลี้ยงควายใกล้จุดพบศพ เล่าว่า ปกติมาเลี้ยงควายที่ป่าชุมชนเป็นประจำ เมื่อวานนี้ 28 ก.ค. จูงควายมากินหญ้า และเห็นหลุมฝังศพดังกล่าว ควายก็เดินไปกินหญ้าบริเวณใกล้กับหลุม แต่ตนไม่ได้เอะใจ จนช่วงเย็นทราบข่าวว่าผู้ใหญ่บ้านไปขุดเจอศพก็ค่อนข้างตกใจ
โดยที่ผ่านมาช่วงกลางวันมักจะมีรถสัญจรผ่านเข้าออกย่านป่าชุมชนเป็นประจำ บางครั้งก็เป็นรถคนนอกพื้นที่ขับเข้ามาเป็นคู่ชายหญิงมานั่งเล่นกัน แต่ไม่เคยเห็นความผิดปกติ ตนมองว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเข้ามาช่วงกลางคืนมากกว่า เพราะไม่ค่อยมีคนผ่านบริเวณดังกล่าว
จากการตรวจสอบจุดที่พบศพชายหญิงในพื้นที่ป่าชุมชน ต.รุ่งอรุณ อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา สามารถเข้าได้จาก 2 ทาง คือ เข้าจากถนนสายหลักราชสีมา-โชคชัย ระยะห่างประมาณ 300 เมตร เส้นทางลูกรัง 2 ข้างทางเป็นป่าทึบ ไม่มีบ้านคน โดยต้องเดินต่อเข้าไปในป่าลัดเลาะต้นไม้ใหญ่เข้าไปประมาณ 100 เมตร จึงจะเจอหลุมฝังศพ
อีกเส้นทางคือ เข้าจากพื้นที่ชุมชน ห่างออกไปกว่า 1 กิโลเมตร ถนนเป็นลูกรังขรุขระ 2 ข้างทางเป็นป่า และนาข้าว ซึ่งเส้นทางนี้ส่วนใหญ่เป็นทางสัญจรของชาวบ้านในพื้นที่
นายธีระศักดิ์ หมื่นหาญชนะ อายุ 42 ปี ผู้ใหญ่บ้าน ม.1 เล่าว่า เมื่อวานนี้ช่วงเที่ยง ตนลงพื้นที่มาพร้อมผู้ใหญ่บ้าน ม.13 และคนเก็บเห็ด เพื่อมาดูจุดเจอหลุม ระหว่างนั้นสังเกตเห็นรถเก๋งสีขาวขับผ่านมา และได้เลยไปจอดห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 เมตร
ระหว่างนั้นพวกตนออกจากที่เกิดเหตุก่อนที่จะขุดหลุม สังเกตว่ารถเก๋งคันดังกล่าวยังจอดอยู่
แต่เมื่อพวกตนกลับมาขุดหลุมช่วงเวลา 15.00 น. กลับไม่พบรถคันดังกล่าวแล้ว ตนรู้สึกเอะใจ เพราะเก๋งคันนี้ทะเบียนกรุงเทพฯ เป็นทะเบียนต่างถิ่น ปกติไม่ค่อยจะขับเข้ามา ก่อนหน้านี้ไม่เคยรับแจ้งเรื่องรถผิดสังเกตมาก่อน เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา มีข่าวลือว่าชาวบ้านเจอศพถูกฝังมือโผล่ออกมาในป่าชุมชนใกล้วัดร้าง แต่เป็นคนละจุดกับที่เจอ 2 ศพ ตอนนั้นตนระดมชาวบ้านมาตระเวนรอบพื้นที่แต่ไม่พบหลุมศพแต่อย่างใด
ทีมข่าวได้ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าผู้ตายอาจจะเป็นชาวต่างชาติ หรือต่างด้าว จึงลองไปสอบถามโรงงานที่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 4 กิโลเมตร สอบถามผู้ดูแลคนงาน
โดยทางโรงงานระบุว่าได้ตรวจสอบแล้ว ยืนยันว่าแรงงานต่างด้าวไม่มีใครหายตัวไปในช่วงที่ผ่านมา มีเพียงคนไทยบางส่วนที่ลาออกช่วง 2-3 วัน ได้เช็กต่อไป และพบว่ายังมีชีวิตอยู่
นอกจากนี้ ได้ให้พนักงานช่วยกันตรวจสอบรอยสักว่ามีใครเคยเห็นรอยสักลักษณะนี้บ้าง ส่วนตัวเชื่อว่าผู้ตายไม่น่าจะเป็นต่างด้าว เพราะดูจากรอยสักค่อนข้างใหญ่ ปกติต่างด้าวผู้หญิง เช่น ชาวกัมพูชากับลาว มักจะไม่นิยมสัก โดยชาวลาวอาจจะสักบ้าง แต่มักจะสักเป็นรูปเล็ก ๆ เท่านั้น ทีมข่าวนำภาพรอยสักไปสอบถามพนักงานโรงงาน ส่วนใหญ่ต่างยืนยันว่าไม่เคยเห็นรอยสักดังกล่าว และไม่มีเพื่อนหายตัวไปด้วย